Tag: คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

  • ไวยากรณ์พื้นฐาน (Basic Grammar) ของภาษาอังกฤษ

    หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณมีแนวทางในการฝึกฝนการเขียนและการฟังภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพครับ ไวยากรณ์พื้นฐาน (Basic Grammar) ของภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารที่ชัดเจนและถูกต้อง การเข้าใจไวยากรณ์พื้นฐานจะช่วยให้คุณสามารถสร้างประโยคที่มีความหมายและสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือองค์ประกอบหลักของไวยากรณ์พื้นฐานที่เพื่อนควรจะต้องทำความเข้าใจ ไปเริ่มกันเลย

    Basic Grammar

    1. ประเภทของคำ (Parts of Speech)

    คำนาม (Nouns)

    • คำนามทั่วไป (Common Nouns): ใช้เรียกสิ่งของทั่วไป เช่น dog, car, book
    • คำนามเฉพาะ (Proper Nouns): ใช้เรียกชื่อเฉพาะ เช่น John, Thailand, Amazon
    • คำนามนับได้ (Countable Nouns): สามารถนับจำนวนได้ เช่น apple, car
    • คำนามนับไม่ได้ (Uncountable Nouns): ไม่สามารถนับจำนวนได้ เช่น water, information

    คำกริยา (Verbs)

    • กริยาแท้ (Main Verbs): ใช้แสดงการกระทำหรือสภาวะ เช่น run, speak, be
    • กริยาช่วย (Auxiliary Verbs): ใช้ช่วยกริยาแท้เพื่อแสดงรูปแบบของกาล เช่น am, is, have, do

    คำคุณศัพท์ (Adjectives)

    • ใช้ขยายหรืออธิบายคำนาม เช่น big, blue, happy

    คำวิเศษณ์ (Adverbs)

    • ใช้ขยายหรืออธิบายคำกริยา, คำคุณศัพท์, หรือคำวิเศษณ์อื่น เช่น quickly, very, well

    คำสรรพนาม (Pronouns)

    • ใช้แทนคำนาม เช่น I, you, he, she, it

    คำบุพบท (Prepositions)

    • ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับส่วนอื่นของประโยค เช่น in, on, at, under

    คำเชื่อม (Conjunctions)

    • ใช้เชื่อมคำ, วลี, หรือประโยค เช่น and, but, because

    คำอุทาน (Interjections)

    • ใช้แสดงอารมณ์หรือความรู้สึก เช่น wow, oh, ouch

    2. โครงสร้างประโยค (Sentence Structure)

    ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentence)

    • ใช้เพื่อบอกเล่าข้อมูลหรือความคิดเห็น เช่น She likes to read.

    ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence)

    • ใช้เพื่อถามคำถาม เช่น Do you like coffee?

    ประโยคคำสั่ง (Imperative Sentence)

    • ใช้เพื่อสั่งหรือขอร้อง เช่น Please close the door.

    ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence)

    • ใช้เพื่อบอกปฏิเสธ เช่น I don’t like spiders.

    3. การใช้คำกริยาและการผันคำกริยา (Verb Tenses and Conjugation)

    ปัจจุบัน (Present)

    • Present Simple: ใช้เพื่อบอกความจริงทั่วไปหรือกิจวัตรประจำวัน เช่น I go to school every day.
    • Present Continuous: ใช้เพื่อบอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ เช่น She is reading a book.

    อดีต (Past)

    • Past Simple: ใช้เพื่อบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น He visited Paris last year.
    • Past Continuous: ใช้เพื่อบอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น They were watching TV at 8 PM.

    อนาคต (Future)

    • Future Simple: ใช้เพื่อบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น We will travel to Japan next month.
    • Future Continuous: ใช้เพื่อบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและดำเนินต่อไป เช่น I will be studying at 10 AM tomorrow.

    4. คำสั่งและการขอร้อง (Imperatives and Requests)

    • ใช้คำกริยาในรูปแบบคำสั่งเพื่อบอกให้ทำหรือไม่ทำสิ่งใด เช่น Close the window., Don’t touch that.
    • ใช้โครงสร้างคำขอร้องเพื่อแสดงความสุภาพ เช่น Could you please help me?, Would you mind opening the door?

    5. คำคุณศัพท์และการเปรียบเทียบ (Adjectives and Comparisons)

    การใช้คำคุณศัพท์เพื่อเปรียบเทียบ (Comparative Adjectives)

    • ใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ เช่น This book is more interesting than that one.

    การใช้คำคุณศัพท์เพื่อแสดงระดับสูงสุด (Superlative Adjectives)

    • ใช้เพื่อแสดงระดับสูงสุดหรือสิ่งที่เด่นที่สุดในกลุ่ม เช่น She is the tallest student in the class.

    6. คำบุพบทและการบอกตำแหน่ง (Prepositions and Positions)

    • ใช้คำบุพบทเพื่อบอกตำแหน่งหรือความสัมพันธ์ เช่น The book is on the table., She lives in London.

    7. คำเชื่อมและการสร้างประโยคซับซ้อน (Conjunctions and Complex Sentences)

    การใช้คำเชื่อมเพื่อเชื่อมประโยค (Coordinating Conjunctions)

    • ใช้คำเชื่อมเช่น and, but, or เพื่อเชื่อมคำหรือประโยคที่มีความหมายคล้ายกันหรือตรงข้ามกัน เช่น I like tea, and she likes coffee.

    การใช้คำเชื่อมเพื่อสร้างประโยคซับซ้อน (Subordinating Conjunctions)

    • ใช้คำเชื่อมเช่น because, although, if เพื่อสร้างประโยคที่มีการเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์หรือเงื่อนไข เช่น He stayed home because he was sick.

    8. การใช้สรรพนาม (Using Pronouns)

    การใช้สรรพนามแทนคำนาม (Personal Pronouns)

    • ใช้สรรพนามเพื่อแทนคำนาม เช่น I, you, he, she, it, we, they

    การใช้สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronouns)

    • ใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น my, your, his, her, its, our, their

    การใช้สรรพนามที่สัมพันธ์กัน (Relative Pronouns)

    • ใช้เพื่อเชื่อมข้อมูลและเพิ่มรายละเอียดในประโยค เช่น who, whom, whose, which, that

    9. การใช้คำวิเศษณ์ (Using Adverbs)

    คำวิเศษณ์บอกเวลา (Adverbs of Time)

    • บอกเวลาที่เกิดขึ้น เช่น now, then, later, yesterday, tomorrow

    คำวิเศษณ์บอกสถานที่ (Adverbs of Place)

    • บอกสถานที่ เช่น here, there, everywhere

    คำวิเศษณ์บอกวิธีการ (Adverbs of Manner)

    • บอกวิธีการหรืออธิบายว่าการกระทำเกิดขึ้นอย่างไร เช่น quickly, slowly, carefully

    คำวิเศษณ์บอกความถี่ (Adverbs of Frequency)

    • บอกความถี่ในการเกิดเหตุการณ์ เช่น always, never, sometimes, often

    10. โครงสร้างคำถาม (Question Formation)

    คำถามใช่หรือไม่ (Yes/No Questions)

    • ใช้คำช่วย เช่น is, are, do, does เพื่อสร้างคำถาม เช่น Is she coming?, Do you like pizza?

    คำถามที่ใช้คำถาม (Wh- Questions)

    • ใช้คำเช่น what, where, when, why, who, how เพื่อถามคำถาม เช่น What are you doing?, Where is he going?

    11. การใช้บทสนทนา (Dialogue Usage)

    • ฝึกการใช้ไวยากรณ์ในบทสนทนาประจำวัน เช่น การทักทาย, การขอข้อมูล, การแสดงความคิดเห็น เพื่อให้คุณสามารถใช้ไวยากรณ์ได้ในสถานการณ์จริง

    12. การใช้รูปประโยค (Sentence Patterns)

    • รูปประโยคพื้นฐาน (Basic Sentence Patterns): เช่น ประโยคที่มีประธาน + กริยา + กรรม
    • รูปประโยคซับซ้อน (Complex Sentence Patterns): เช่น ประโยคที่มีประธาน + กริยา + กรรม + วลีหรือประโยคย่อย

    การทำความเข้าใจและฝึกฝนไวยากรณ์พื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนเก่งภาษาอังกฤษขึ้นหลาย% อย่างแน่นอน

    ภาษา-อังกฤษ
  • เรียนฝึกฝนการเขียนและการฟังภาษาอังกฤษ

    การเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีนั้นไม่เพียงแค่การเรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์เท่านั้น แต่การฝึกฝนทักษะการเขียนและการฟังก็มีความสำคัญอย่างมาก ทั้งสองทักษะนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจวิธีการฝึกฝนการเขียนและการฟังเพื่อให้คุณสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณได้อย่างต่อเนื่อง

    ความสำคัญของการฝึกฝนการเขียน (Practicing Writing)

    การเขียนเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในการสื่อสารภาษาอังกฤษ การเขียนช่วยให้คุณสามารถถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกของคุณออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ การฝึกเขียนจะช่วยให้คุณเข้าใจโครงสร้างของประโยค การใช้ไวยากรณ์ และการเลือกใช้คำศัพท์อย่างเหมาะสม

    เทคนิคในการฝึกฝนการเขียน

    1. การเขียนประโยคง่าย ๆ (Simple Sentences):
      • เริ่มต้นด้วยการเขียนประโยคง่าย ๆ ที่ประกอบด้วยประธาน กริยา และกรรม เช่น “I like to read books.” หรือ “She is a good student.”
      • ฝึกการเขียนประโยคที่ใช้คำศัพท์และไวยากรณ์พื้นฐาน
    2. การเขียนย่อหน้า (Paragraph Writing):
      • พยายามเขียนย่อหน้าสั้น ๆ ที่ประกอบด้วยประโยคหลาย ๆ ประโยคเพื่อฝึกการเชื่อมโยงความคิด เช่น เขียนเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันหรือสิ่งที่คุณสนใจ
      • ใช้ประโยคที่มีการเชื่อมต่อเพื่อให้เนื้อหาของคุณไหลลื่นและมีความต่อเนื่อง
    3. การเขียนไดอารี่ (Diary Writing):
      • ฝึกการเขียนไดอารี่เพื่อบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถฝึกการเขียนอย่างสม่ำเสมอและมีโอกาสได้สะท้อนความคิดและความรู้สึกของคุณ
      • เขียนเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ความรู้สึก หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น
    4. การตรวจสอบและแก้ไข (Editing and Revising):
      • เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ควรตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด เช่น การสะกดคำผิดหรือการใช้ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง
      • อ่านสิ่งที่คุณเขียนออกเสียงเพื่อช่วยตรวจสอบความชัดเจนและความถูกต้อง
    5. การใช้เทคโนโลยีช่วย (Using Technology):
      • ใช้โปรแกรมช่วยตรวจสอบไวยากรณ์และคำศัพท์ เช่น Grammarly หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่ช่วยตรวจสอบและแนะนำการเขียนของคุณ
      • เขียนบทความหรือความคิดเห็นในฟอรัมออนไลน์เพื่อฝึกการเขียนในบริบทต่าง ๆ

    การฝึกฝนการฟัง (Practicing Listening)

    การฟังเป็นทักษะที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษา การฝึกฝนการฟังจะช่วยให้คุณเข้าใจการสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น การฟังเป็นทักษะที่ต้องการการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถเข้าใจสำเนียงและความหมายของคำพูดที่หลากหลายได้

    เทคนิคในการฝึกฝนการฟัง

    1. การฟังเนื้อหาง่าย ๆ (Listening to Simple Content):
      • เริ่มจากการฟังเนื้อหาง่าย ๆ เช่น บทสนทนาในชีวิตประจำวัน เพลงสำหรับเด็ก หรือพอดแคสต์ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ
      • ฟังหลายครั้งเพื่อจับประเด็นและคำศัพท์ที่สำคัญ
    2. การใช้สื่อการเรียนรู้ (Using Learning Materials):
      • ใช้สื่อการเรียนรู้ เช่น วิดีโอจาก YouTube, TED Talks หรือสื่อการสอนภาษาอังกฤษออนไลน์
      • เลือกเนื้อหาที่มีคำบรรยายเพื่อช่วยในการติดตามและทำความเข้าใจเนื้อหา
    3. การฟังเพลงและดูหนัง (Listening to Music and Watching Movies):
      • ฟังเพลงภาษาอังกฤษและพยายามจับใจความของเนื้อเพลง การดูหนังหรือซีรีส์ภาษาอังกฤษช่วยให้คุณคุ้นเคยกับสำเนียงและการใช้ภาษาในบริบทต่าง ๆ
      • ดูหนังหรือซีรีส์ภาษาอังกฤษที่มีคำบรรยายเพื่อช่วยในการทำความเข้าใจและพัฒนาทักษะการฟัง
    4. การฝึกฟังบทสนทนา (Listening to Conversations):
      • ฝึกฟังบทสนทนาระหว่างเจ้าของภาษาเพื่อทำความเข้าใจวิธีการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสนทนาในร้านอาหาร การซื้อของ หรือการสนทนาเกี่ยวกับงาน
      • ใช้แอปพลิเคชันที่มีบทสนทนาแบบโต้ตอบเพื่อฝึกการฟังและการตอบสนอง
    5. การฝึกฟังแบบจดจ่อ (Focused Listening):
      • ฝึกฟังอย่างจดจ่อโดยไม่ใช้คำบรรยาย เพื่อพัฒนาความสามารถในการจับความหมายจากเสียงและเนื้อหา
      • หลังจากฟังเสร็จ ลองสรุปสิ่งที่ได้ยินเพื่อฝึกการเข้าใจและจดจำ

    การบูรณาการการเขียนและการฟัง

    การฝึกฝนการเขียนและการฟังสามารถทำไปพร้อมกันได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณ เช่น:

    • การเขียนบทสรุปจากการฟัง: หลังจากฟังบทสนทนาหรือดูหนัง ให้ลองเขียนบทสรุปหรือความคิดเห็นของคุณออกมา เป็นการฝึกฝนทั้งการฟังและการเขียนในเวลาเดียวกัน
    • การจดบันทึกขณะฟัง: เมื่อฟังเนื้อหาหรือการบรรยายที่ยาว ลองจดบันทึกสิ่งที่คุณได้ยินเพื่อฝึกการเขียนและการจับประเด็น
    • การใช้เทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน: ใช้แอปพลิเคชันที่ช่วยในการฝึกการเขียนและการฟัง เช่น Duolingo, BBC Learning English หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่ให้คุณฝึกฝนทั้งสองทักษะ

    สรุป

    การฝึกฝนการเขียนและการฟังเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ การฝึกเขียนช่วยให้คุณสามารถถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ขณะที่การฝึกฟังช่วยให้คุณเข้าใจการสื่อสารในชีวิตประจำวันและสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง การฝึกฝนทั้งสองทักษะนี้ควรทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อให้คุณสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณได้อย่างเต็มที่

    ภาษา-อังกฤษ
  • เรียนภาษาอังกฤษรู้จักตัวอักษรและการออกเสียง

    การเรียนรู้ตัวอักษรภาษาอังกฤษถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากตัวอักษรเป็นพื้นฐานที่ใช้ในการสร้างคำและประโยค การทำความเข้าใจและการออกเสียงตัวอักษรให้ถูกต้องจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้ง 26 ตัว และเรียนรู้วิธีการออกเสียงอย่างถูกต้อง

    Recognizing Letters and Pronunciation

    ทำความรู้จักกับตัวอักษรภาษาอังกฤษ

    ภาษาอังกฤษมีตัวอักษรทั้งหมด 26 ตัว ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

    1. ตัวพิมพ์ใหญ่ (Uppercase Letters): A, B, C, D, E, F, G, H, I, J, K, L, M, N, O, P, Q, R, S, T, U, V, W, X, Y, Z
    2. ตัวพิมพ์เล็ก (Lowercase Letters): a, b, c, d, e, f, g, h, i, j, k, l, m, n, o, p, q, r, s, t, u, v, w, x, y, z

    ลักษณะของตัวอักษร

    • ตัวพิมพ์ใหญ่ มักใช้ในตำแหน่งเริ่มต้นของประโยค หรือชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อบุคคล สถานที่ และชื่อวัน
    • ตัวพิมพ์เล็ก ใช้ทั่วไปในประโยคหรือคำศัพท์ทั่วไป

    การรู้จักตัวอักษรและการเขียนให้ถูกต้องเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะหากเขียนหรืออ่านตัวอักษรผิด อาจทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไปและอาจทำให้การสื่อสารมีปัญหาได้

    การออกเสียงตัวอักษร (Phonetics)

    การออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษบางตัวอาจแตกต่างจากเสียงในภาษาไทย การฝึกการออกเสียงที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถพูดและฟังภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ นี่คือการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัว:

    • A /eɪ/: เริ่มเสียงด้วย /e/ แล้วตามด้วย /ɪ/
    • B /biː/: เสียง /b/ ตามด้วยเสียง /iː/
    • C /siː/: เสียง /s/ ตามด้วยเสียง /iː/
    • D /diː/: เสียง /d/ ตามด้วยเสียง /iː/
    • E /iː/: เสียง /iː/ ยาว
    • F /ɛf/: เสียง /ɛ/ ตามด้วย /f/
    • G /dʒiː/: เสียง /dʒ/ ตามด้วย /iː/
    • H /eɪtʃ/: เสียง /eɪ/ ตามด้วย /tʃ/
    • I /aɪ/: เริ่มเสียงด้วย /a/ แล้วตามด้วย /ɪ/
    • J /dʒeɪ/: เสียง /dʒ/ ตามด้วย /eɪ/
    • K /keɪ/: เสียง /k/ ตามด้วย /eɪ/
    • L /ɛl/: เสียง /ɛ/ ตามด้วย /l/
    • M /ɛm/: เสียง /ɛ/ ตามด้วย /m/
    • N /ɛn/: เสียง /ɛ/ ตามด้วย /n/
    • O /oʊ/: เสียง /o/ ตามด้วย /ʊ/
    • P /piː/: เสียง /p/ ตามด้วย /iː/
    • Q /kjuː/: เสียง /k/ ตามด้วย /juː/
    • R /ɑːr/: เสียง /ɑː/ ตามด้วย /r/
    • S /ɛs/: เสียง /ɛ/ ตามด้วย /s/
    • T /tiː/: เสียง /t/ ตามด้วย /iː/
    • U /juː/: เสียง /j/ ตามด้วย /uː/
    • V /viː/: เสียง /v/ ตามด้วย /iː/
    • W /ˈdʌbəljuː/: เสียง /dʌbəl/ ตามด้วย /juː/
    • X /ɛks/: เสียง /ɛ/ ตามด้วย /ks/
    • Y /waɪ/: เสียง /w/ ตามด้วย /aɪ/
    • Z /ziː/ (ในอเมริกา) หรือ /zɛd/ (ในอังกฤษ): เสียง /z/ ตามด้วย /iː/ หรือ /ɛd/

    ตัวอย่างการใช้ในคำศัพท์

    การเรียนรู้การออกเสียงตัวอักษรอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การนำตัวอักษรไปใช้ในคำศัพท์จะช่วยให้คุณเข้าใจและจำได้ดียิ่งขึ้น เช่น:

    • A: Apple (/ˈæpəl/)
    • B: Ball (/bɔːl/)
    • C: Cat (/kæt/)
    • D: Dog (/dɒg/)

    ฝึกการอ่านคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการออกเสียงตัวอักษรในบริบทจริง

    เคล็ดลับในการเรียนรู้ตัวอักษรและการออกเสียง

    1. การใช้สื่อภาพและเสียง: ใช้สื่อภาพ เช่น การ์ดตัวอักษร หรือเพลง ABC เพื่อช่วยในการจดจำและเข้าใจการออกเสียง
    2. การฝึกออกเสียงเป็นประจำ: ฝึกการออกเสียงตัวอักษรทุกวัน เพื่อให้คุ้นเคยกับเสียงที่ถูกต้อง
    3. การเชื่อมโยงตัวอักษรกับวัตถุ: พยายามเชื่อมโยงตัวอักษรกับสิ่งของรอบตัว เช่น A สำหรับ Apple, B สำหรับ Ball เพื่อช่วยในการจำ

    สรุป

    การรู้จักตัวอักษรและการออกเสียงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ การเข้าใจและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่แข็งแรงและสามารถต่อยอดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในระดับที่สูงขึ้นได้ การฝึกการออกเสียงที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารได้อย่างมั่นใจและชัดเจน

  • สมัยนี้เรียนภาษาอังกฤษยังไงดี

    การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีหลายวิธีในการเรียนรู้ได้ตามความสะดวกสบายของแต่ละคนค่ะ นี่คือบางวิธีที่คุณอาจจะสนใจ

    เรียนผ่านแอปพลิเคชัน: มีแอปพลิเคชันหลายตัวที่สามารถช่วยให้คุณฝึกฝนได้ตลอดทั้งวัน เช่น Duolingo, Babbel, Rosetta Stone เป็นต้น

    เรียนผ่านคอร์สออนไลน์: มีเว็บไซต์ที่ให้คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์มากมาย เช่น Coursera, edX, Udemy และ Khan Academy

    เรียนผ่านวิดีโอบน YouTube: มีช่องทางหลายรายที่นำเสนอเนื้อหาการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูง เช่น English with Lucy, BBC Learning English, EngVid

    การอ่านหนังสือและบทความ: เลือกหนังสือที่คุณสนใจหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ชอบ และพยายามอ่านเป็นประจำ

    การฝึกพูดกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่: หากมีโอกาส พูดคุยกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เพื่อฝึกทักษะการสื่อสาร

    การเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง: หากมีคอมมูนิตี้หรือกลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษในพื้นที่ของคุณ คุณสามารถเข้าร่วมเพื่อฝึกทักษะการสื่อสารได้

    การเรียนภาษาอังกฤษควรจะเน้นที่ความสนุกสนานและเอื้ออำนวยให้คุณสามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่องค่ะ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ สำหรับเนื้อหานี้

  • น้อย น้อยกว่า น้อยที่สุด มาก มากกว่า คำศัพท์ในภาษาอักฤษ

    เรียนภาษาอังกฤษ คำศัพท์ภาษาอังกฤษชุดคำศัพท์ น้อย น้อยกว่า น้อยที่สุ หรือ คำศัพท์ มาก มากกว่า่ มาเรียนภาษาอังกฤษกันเลย

    คำศัพท์ในภาษาอักฤษ

    The man has some rice. = ผู้ชายคนนั้นมีข้าวจำนวนหนึ่ง
    The girl has less rice. = เด็กผู้หญิงคนนั้นมีข้าวน้อย
    The woman has the least rice. = ผู้หญิงคนนั้นมีข้าวน้อยมาก

    The girl has some cake. = เด็กผู้หญิงคนนั้นมีเค้กจำนวนหนึ่ง
    The woman has less cake. = ผู้หญิงคนนั้นมีเค้กน้อย
    The man has the least cake. = ผู้ชายคนนั้นมีเค้กน้อยมาก


    These toys are the same. = ของเล่นเหล่านี้เหมือนกัน
    These chairs are different. = เก้าอี้เหล่านี้ต่างกัน
    These cups are different. = ถ้วยกาแฟเหล่านี้ต่างกัน
    These pens are the same. = ปากกาเหล่านี้เหมือนกัน

    These cups are the same size. = ถ้วยกาแฟเหล่านี้มีขนาดเหมือนกัน
    These hats are the same size. = หมวกเหล่านี้มีขนาดเหมือนกัน
    These cups are different sizes. = ถ้วยกาแฟเหล่านี้มีขนาดต่างกัน
    These hats are different sizes. = หมวกเหล่านี้มีขนาดต่างกัน

    You’re too big. = คุณตัวใหญ่เกินไป
    This chair is too small. = เก้าอี้ตัวนี้เล็กเกินไป
    This bicycle is too expensive. = จักรยานคันนี้แพงเกินไป
    I’m too short. = ฉันเตี้ยเกินไป

    This shoe fits. = รองเท้าข้างนี้คับ
    These sunglasses are too big. = แว่นกันแดดอันนี้ใหญ่เกินไป
    This coat is too small. = เสื้อโค้ทเล็กเกิน

    Which shoes fit? = รองเท้าข้างไหนฟิต
    Which shoes are too big? = รองเท้าคู่ไหนใหญ่กว่า
    Which shoes are too small? = รองเท้าคู่ไหนเล็กกว่า

    Some of the ball are yellow. = บอลจำนวนหนึ่งสีเหลือง
    None of the ball are yellow. = ไม่มีบอลลูกไหนสีเหลือง
    All of the ball are yellow. = บอลทั้งหมดสีเหลือง

    The door is closed. = ประตูปิด
    The door is open. = ประตูเปิด
    The window is closed. = หน้าต่างปิด
    The window is open. = หน้าต่างเปิด

    The jewelry store is open. = ร้านขายเครื่องประดับเปิด
    The toy store is closed. = ร้านขายของเล่นปิด
    The pharmacy is closed. = ร้านขายยาปิด
    The book store is open. = ร้านขายหนังสือเปิด

    Thank you. = ขอบคุณ
    You’re welcome. = ไม่เป็นไร

    เรียนภาษาอังกฤษ
    เรียนภาษาอังกฤษ